หาก Netflix ค้างหรือหยุดโหลด แต่ส่วนอื่นๆ ของอุปกรณ์ทำงานได้ปกติ ส่วนใหญ่มักจะแก้ปัญหาได้โดยใช้ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาพื้นฐานเหล่านี้ โดยทั่วไปปัญหานี้จะเกิดขึ้นเมื่อต้องรีเฟรชข้อมูลที่เก็บไว้ในอุปกรณ์ หรือเครือข่ายมีปัญหาทำให้ Netflix หยุดโหลด
โปรดทำตามขั้นตอนสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งาน เพื่อแก้ไขปัญหา
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
จากหน้าจอหลักของ Netflix ให้ไปที่ด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู
จากด้านล่างของเมนู ให้ไปที่ด้านขวาแล้วเลือก "ขอความช่วยเหลือ"
เลือก "ออกจากระบบ"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากอยู่ที่หน้าจอแสดงข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้
เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"
เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากไม่พบ "ออกจากระบบ" ให้กดปุ่มตามลำดับดังนี้บนรีโมท: ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น จากนั้นเลือก "ออกจากระบบ" "รีเซ็ต" หรือ "ปิดใช้งาน"
อุปกรณ์ของคุณมีปัญหาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ซึ่ง Samsumg เท่านั้นที่สามารถแก้ปัญหาได้
โปรดติดต่อ Samsung แล้วสอบถามข้อมูลต่อไปนี้
ให้ความช่วยเหลือในการรีเซ็ต Smart Hub
ช่วยอัปเกรดเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์
ช่วยรีเซ็ตอุปกรณ์กลับไปเป็นค่าที่ตั้งจากโรงงาน
หากขั้นตอนเหล่านี้ไม่สามารถช่วยได้ Samsung อาจมีคำแนะนำอื่นๆ หรือลองรับชม Netflix ในอุปกรณ์เครื่องอื่น
จากเมนู "หลัก" ให้เลือก "แอป"
เปิดแอป Play Store
เลื่อนลงไปที่ My Apps (แอปของฉัน)
เลือก Netflix จากแถวบนสุด จากนั้นเลือก "อัปเดต"
หากไม่พบแอป Play Store ในทีวีของ Sony อาจเป็นเพราะไม่ใช่ Android TV ให้ทำตามขั้นตอนสำหรับทีวีอื่นๆ ทั้งหมดแทน
จากหน้าจอหลักของ Netflix ให้ไปที่ด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู
จากด้านล่างของเมนู ให้ไปที่ด้านขวาแล้วเลือก "ขอความช่วยเหลือ"
เลือก "ออกจากระบบ"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากอยู่ที่หน้าจอแสดงข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้
เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"
เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากไม่พบ "ออกจากระบบ" ให้กดปุ่มตามลำดับดังนี้บนรีโมท: ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น จากนั้นเลือก "ออกจากระบบ" "รีเซ็ต" หรือ "ปิดใช้งาน"
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
สำหรับวิธีแก้ไขปัญหานี้ คุณจะต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ผลิตอุปกรณ์
อัปเดตอุปกรณ์เป็นซอฟต์แวร์หรือเฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุด
รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
หากผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือขั้นตอนเหล่านี้ไม่ได้ผล ก็จะต้องใช้อุปกรณ์อื่นในการรับชม Netflix
ปิดอุปกรณ์ Android ที่ใช้งาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นการปิดเครื่อง ไม่ใช่แค่ล็อกหน้าจอ
เปิดเครื่องอีกครั้ง
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วถอดปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
เมื่อผ่านไป 30 วินาที ให้เสียบปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
รอ 1 นาที จากนั้นจึงเปิดอุปกรณ์
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
วิธีปรับปรุงสัญญาณ Wi-Fi
ย้ายเราเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้งานให้อยู่ใกล้กันมากขึ้น หากเป็นไปได้ ให้อยู่ในห้องเดียวกัน
ย้ายเราเตอร์ให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ไร้สายและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
วางเราเตอร์ให้อยู่สูงจากพื้นในพื้นที่เปิดโล่ง เราเตอร์จะรับสัญญาณได้ดีขึ้นเมื่ออยู่บนโต๊ะหรือชั้นหนังสือ
เปิด App Switcher (โปรแกรมสลับแอป) โดยกดที่ปุ่มหน้าหลักสองครั้ง
สำหรับทุกแอปในรายการ ให้ปัดแอปขึ้นเพื่อปิด
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ขั้นตอนในการปิดแอปอาจแตกต่างกันในแต่ละอุปกรณ์ ดูขั้นตอนสำหรับอุปกรณ์ที่คุณใช้งานได้ที่เว็บไซต์การสนับสนุนของ Apple
กดปุ่มด้านข้างและปุ่มปรับระดับเสียงปุ่มหนึ่งค้างไว้พร้อมกันจนกว่าแถบเลื่อนจะปรากฏขึ้น ลากแถบเลื่อนด้านบนเพื่อปิดอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์
หากแถบเลื่อนไม่ปรากฏ ให้กดปุ่ม Sleep/Wake ค้างไว้จนแถบเลื่อนสีแดงปรากฏขึ้น แล้วจึงลากแถบเลื่อนดังกล่าว
หลังจาก 10 วินาที กดปุ่ม Sleep/Wake
เมื่ออุปกรณ์เปิดทำงานเรียบร้อยแล้ว ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
รีเฟรชข้อมูล Netflix ที่ล้าสมัยที่เก็บไว้ใน iPhone, iPad หรือ iPod touch โดยการรีเซ็ตแอป
จากหน้าจอหลัก ให้เลือก "การตั้งค่า"
เลื่อนลงมาจนเจอแอป Netflix
เลือก Netflix
เลื่อนปุ่ม "รีเซ็ต" ไปที่ตำแหน่ง "เปิด"
หากไม่เห็นสวิตช์ "รีเซ็ต" ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อด้านล่าง
กดปุ่ม "หน้าหลัก" เพื่อกลับไปที่ "หน้าจอหลัก"
กดปุ่ม "หน้าหลัก" สองครั้งและเลื่อนไปทางขวาจนเจอแอป Netflix
เลื่อนขึ้นบนแอป Netflix เพื่อปิดเซสชันของคุณ
กดปุ่ม "หน้าหลัก" สองครั้งเพื่อกลับไปที่ "หน้าจอหลัก"
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
จากหน้าจอหลัก ให้แตะที่แอป Netflix ค้างไว้
แตะ Remove App (ลบแอป) > Delete App (ลบแอป) > Delete (ลบ)
เปิด App Store และ ค้นหา "Netflix"
แตะที่ Netflix แล้วแตะไอคอนรูปคลาวด์เพื่อดาวน์โหลดแอป
ถ้าระบบถาม ให้ป้อน Apple ID และรหัสผ่าน หากลืมรหัสผ่าน ให้ไปที่เว็บไซต์การสนับสนุนของ Apple เพื่อรีเซ็ตรหัสผ่าน
เมื่อติดตั้งแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากไม่พบแอป Netflix ใน App Store ให้ไปที่เว็บไซต์การสนับสนุนของ Apple เพื่อขอความช่วยเหลือ
สำหรับขั้นตอนนี้ ให้ปิดแล้วถอดปลั๊กอุปกรณ์และอุปกรณ์เครือข่ายภายในบ้านของคุณทั้งหมดออกเป็นกลุ่มเป็นเวลา 30 วินาที ก่อนเสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไปใหม่ทีละอุปกรณ์
ปิดอุปกรณ์มือถือ
ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที
เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกระพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกระพริบ
เปิดอุปกรณ์ขึ้นใหม่แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้
ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ
แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง
รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ
ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้
ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน
อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง
ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้
ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง
ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
ปิดคอมพิวเตอร์โดยใช้เมนู:
สำหรับ Mac: ที่ด้านซ้ายบน ให้คลิก Apple menu (เมนู Apple) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Windows: จากเมนูเริ่มต้น ให้คลิก Power (เปิด/ปิด) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Chromebook: จากด้านขวาล่าง ให้คลิกที่เวลา > Sign out (ออกจากระบบ) > Shutdown (ปิด)
ปิดคอมพิวเตอร์ไว้อย่างน้อย 10 วินาที
เปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดคอมพิวเตอร์โดยใช้เมนู:
สำหรับ Mac: ที่ด้านซ้ายบน ให้คลิก Apple menu (เมนู Apple) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Windows: จากเมนูเริ่มต้น ให้คลิก Power (เปิด/ปิด) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Chromebook: จากด้านขวาล่าง ให้คลิกที่เวลา > Sign out (ออกจากระบบ) > Shutdown (ปิด)
ปิดคอมพิวเตอร์ไว้อย่างน้อย 10 วินาที
เปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ
เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วถอดปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
เมื่อผ่านไป 30 วินาที ให้เสียบปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
รอ 1 นาที จากนั้นจึงเปิดอุปกรณ์
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดคอมพิวเตอร์โดยใช้เมนู:
สำหรับ Mac: ที่ด้านซ้ายบน ให้คลิก Apple menu (เมนู Apple) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Windows: จากเมนูเริ่มต้น ให้คลิก Power (เปิด/ปิด) > Shutdown (ปิด)
สำหรับ Chromebook: จากด้านขวาล่าง ให้คลิกที่เวลา > Sign out (ออกจากระบบ) > Shutdown (ปิด)
ปิดคอมพิวเตอร์ไว้อย่างน้อย 10 วินาที
เปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ
ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย
ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที
เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วถอดปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
เมื่อผ่านไป 30 วินาที ให้เสียบปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
รอ 1 นาที จากนั้นจึงเปิดอุปกรณ์
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากมีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อในอุปกรณ์ คุณต้องเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น
การตั้งค่าเหล่านี้ได้แก่
การตั้งค่าโมเด็มที่กำหนดเอง
การตั้งค่า Virtual Private Network (VPN - เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล) หรือบริการพร็อกซี
การตั้งค่า DNS ที่กำหนดเอง
หากต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้ผลิตอุปกรณ์ของคุณ
เมื่อรีเซ็ตการตั้งค่าเหล่านี้แล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้
ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ
แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง
รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ
ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้
ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน
อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง
ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้
ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง
ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
แตะปุ่ม "หน้าหลัก" สองครั้ง บนรีโมท
ปัดไปทางขวาหรือซ้ายเพื่อให้ Netflix อยู่ในโฟกัส
ปัดขึ้นเพื่อบังคับปิดแอป Netflix
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ
ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย
ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที
เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
การลบ Netflix
จากหน้าหลักของ Apple TV ไฮไลท์แอป Netflix
กดตรงกลางพื้นผิวสัมผัสของรีโมทหรือคลิกแพดค้างไว้จนกว่าไอคอน Netflix จะเริ่มสั่น
กดปุ่ม "เล่น/หยุดชั่วคราว" เพื่อลบแอป
เลือก "ลบ" เพื่อยืนยันอีกครั้ง
การติดตั้ง Netflix ใหม่อีกครั้ง
เปิด App Store จากหน้าจอหลักของ Apple TV
ค้นหา Netflix เพื่อหาแอป จากนั้นเลือก "ติดตั้ง"
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
กดปุ่มบน Chromecast ค้างไว้ 25 วินาที หรือจนกระทั่งเห็นไฟแสดงสถานะกระพริบ
เมื่อรีเซ็ตค่าของอุปกรณ์แล้ว ให้เชื่อมโยงอุปกรณ์กับบัญชี Netflix ของคุณอีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ
ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย
ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที
เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
Roku 1
กดปุ่ม "หน้าหลัก" บนรีโมทของ Roku เพื่อไปยังหน้าหลักของ Roku
เลือก "การตั้งค่า"
เลือก "การตั้งค่า Netflix"
เลือก "ปิดใช้งานเครื่องเล่นนี้จากบัญชี Netflix ของฉัน"
เลือก "ใช่" ตอนนี้อุปกรณ์ปิดใช้งานแล้ว
เลือก Netflix จากหน้าจอหลักและทำตามข้อความแจ้งเตือนเพื่อเปิดใช้งานแอปอีกครั้ง
เข้าสู่ระบบบัญชีของคุณแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
Roku รุ่นอื่นๆ ทั้งหมด
กดปุ่ม "หน้าหลัก" บนรีโมทของ Roku เพื่อไปยังหน้าหลักของ Roku
ไฮไลท์ที่แอป Netflix แล้วกดปุ่ม "ดาว" บนรีโมท
เลือก "ลบช่องความบันเทิง"
เลือก "ลบช่องความบันเทิง" อีกครั้งเพื่อยืนยัน
จากหน้าจอหลัก เลือก "ช่องสำหรับสตรีมมิง"
เลือก "ภาพยนตร์และทีวี"
เลือก Netflix
เลือก "เพิ่มช่องความบันเทิง"
เลือก "ไปยังช่องความบันเทิง"
เข้าสู่ระบบบัญชีของคุณแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดหรือถอดปลั๊กเครื่องเล่นมีเดียสตรีมมิงของคุณ
ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที
เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ
เปิดเครื่องเล่นมีเดียสตรีมมิงขึ้นใหม่แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
วิธีปรับปรุงสัญญาณ Wi-Fi
ย้ายเราเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้งานให้อยู่ใกล้กันมากขึ้น หากเป็นไปได้ ให้อยู่ในห้องเดียวกัน
ย้ายเราเตอร์ให้อยู่ห่างจากอุปกรณ์ไร้สายและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ
วางเราเตอร์ให้อยู่สูงจากพื้นในพื้นที่เปิดโล่ง เราเตอร์จะรับสัญญาณได้ดีขึ้นเมื่ออยู่บนโต๊ะหรือชั้นหนังสือ
หากมีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อในอุปกรณ์ คุณต้องเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น
การตั้งค่าเหล่านี้ได้แก่
การตั้งค่าโมเด็มที่กำหนดเอง
การตั้งค่า Virtual Private Network (VPN - เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล) หรือบริการพร็อกซี
การตั้งค่า DNS ที่กำหนดเอง
หากต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้ผลิตอุปกรณ์ของคุณ
เมื่อรีเซ็ตการตั้งค่าเหล่านี้แล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้
ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ
แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง
รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ
ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้
ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน
อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง
ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้
ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง
ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
จากหน้าจอหลักของ Netflix ให้ไปที่ด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู
จากด้านล่างของเมนู ให้ไปที่ด้านขวาแล้วเลือก "ขอความช่วยเหลือ"
เลือก "ออกจากระบบ"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากอยู่ที่หน้าจอแสดงข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้
เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"
เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากไม่พบ "ออกจากระบบ" ให้กดปุ่มตามลำดับดังนี้บนรีโมท: ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น จากนั้นเลือก "ออกจากระบบ" "รีเซ็ต" หรือ "ปิดใช้งาน"
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
สำหรับวิธีแก้ไขปัญหานี้ คุณจะต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ผลิตอุปกรณ์
อัปเดตอุปกรณ์เป็นซอฟต์แวร์หรือเฟิร์มแวร์เวอร์ชันล่าสุด
รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นค่าเริ่มต้นจากโรงงาน
หากผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือขั้นตอนเหล่านี้ไม่ได้ผล ก็จะต้องใช้อุปกรณ์อื่นในการรับชม Netflix
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วถอดปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
เมื่อผ่านไป 30 วินาที ให้เสียบปลั๊กโมเด็มและเราเตอร์
รอ 1 นาที จากนั้นจึงเปิดอุปกรณ์
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
เครือข่ายสาธารณะ:
สำหรับ Wi-Fi ในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ โรงแรม หรือโรงเรียน ให้สอบถามว่ามีการบล็อกบริการวิดีโออย่างเช่น Netflix หรือไม่
เครือข่ายส่วนตัว:
ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่อช้ากว่าความเร็วที่แนะนำของเราหรือไม่ แล้วติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณหากต้องการความช่วยเหลือ
การเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น ฮอตสปอตของมือถือ เครือข่ายมือถือ หรือเครือข่ายดาวเทียม อาจช้าเกินไปสำหรับการใช้งาน Netflix
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
เริ่มต้นจากหน้าจอหลักของ PS3
หากไม่ได้อยู่ที่หน้าจอหลัก ให้กดปุ่ม PS3 ตรงกลางของอุปกรณ์ควบคุมค้างไว้ แล้วเลือก "ออก" จากนั้นเลือก "ใช่"
เข้าไปที่หัวข้อ "การบริการสำหรับทีวี/วิดีโอ" และไฮไลท์ที่ Netflix
กดปุ่ม X
หลังจากกดปุ่ม X แล้ว ให้กดปุ่ม Start และ Select ค้างไว้จนกว่าจะเห็นข้อความที่ถามว่า "ต้องการรีเซ็ตการตั้งค่า Netflix แล้วลงทะเบียนอีกครั้งหรือไม่"
เลือก "ใช่"
ป้อนที่อยู่อีเมลและรหัสผ่าน แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากวันที่และเวลาในอุปกรณ์แตกต่างจากวันที่และเวลาในปัจจุบันอย่างมาก จะทำให้เกิดปัญหาในการเล่นรายการทีวีหรือภาพยนตร์
จากเมนูหลัก ให้ไปที่ "การตั้งค่า"
หากไม่ได้อยู่ที่เมนูหลัก ให้กดปุ่ม "PS" ควบคุมค้างไว้ แล้วเลือก "ออก" จากนั้นเลือก "ใช่" เพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก
เลือก "การตั้งค่าวันที่และเวลา"
เลือก "วันที่และเวลา"
เลือก "ตั้งค่าผ่านอินเทอร์เน็ต"
กดปุ่ม O เพื่อกลับไปยังหน้าจอ "วันที่และเวลา"
เลือก "ตั้งค่าโดยอัตโนมัติ"
เลือก "เปิด"
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ปิดหรือถอดปลั๊กคอนโซลเครื่องเล่นวิดีโอเกม
ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที
เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ
เปิดคอนโซลเกมขึ้นใหม่แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้
ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ
แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง
รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ
ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้
ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน
อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง
ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้
ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง
ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
เครือข่ายสาธารณะ:
สำหรับ Wi-Fi ในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ โรงแรม หรือโรงเรียน ให้สอบถามว่ามีการบล็อกบริการวิดีโออย่างเช่น Netflix หรือไม่
เครือข่ายส่วนตัว:
ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่อช้ากว่าความเร็วที่แนะนำของเราหรือไม่ แล้วติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณหากต้องการความช่วยเหลือ
การเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น ฮอตสปอตของมือถือ เครือข่ายมือถือ หรือเครือข่ายดาวเทียม อาจช้าเกินไปสำหรับการใช้งาน Netflix
หากวันที่และเวลาในอุปกรณ์แตกต่างจากวันที่และเวลาในปัจจุบันอย่างมาก อาจทำให้วิดีโอไม่เล่นอย่างถูกต้อง วิธีตั้งค่าเวลา
จากเมนูหลัก ให้ไปที่ "การตั้งค่า"
หากไม่ได้อยู่ในหน้าจอหลัก ให้กดปุ่ม PS ตรงกลางอุปกรณ์ควบคุมค้างไว้ เลือก "ออก" จากนั้นเลือก "ใช่" เพื่อกลับสู่หน้าจอหลัก
เลือก "วันที่และเวลา"
เลือก "การตั้งค่าวันที่และเวลา"
เลือก Set Using Internet (ตั้งค่าผ่านอินเทอร์เน็ต)
เลือก Set Automatically (ตั้งค่าอัตโนมัติ) หากยังไม่ได้ทำเครื่องหมายในช่อง
เลือก Set Now (ตั้งค่าตอนนี้)
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก
กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที
เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป
เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
เริ่มต้นจากหน้าจอหลักของ PS4
หากไม่ได้อยู่ที่หน้าจอหลัก ให้กดปุ่ม PS ตรงกลางของอุปกรณ์ควบคุมค้างไว้ แล้วเลือก "ปิดแอปพลิเคชัน" จากนั้นเลือก "ตกลง"
เข้าไปที่หัวข้อ "ทีวีและวิดีโอ" และไฮไลท์ที่ Netflix
กดปุ่ม "ตัวเลือก" บนอุปกรณ์ควบคุม
เลือก "ลบ"
เลือก"ตกลง"
เลือกไอคอน "Netflix" ร้านค้าของ PlayStation จะแสดงขึ้นมา
เลือกไอคอน "ดาวน์โหลด"
เมื่อดาวน์โหลด Netflix เรียบร้อยแล้ว ให้เลือก "เริ่มต้น"
ลงชื่อเข้าใช้ในบัญชี Netflix ของคุณ แล้วลองสตรีมอีกครั้ง
ระบบอาจร้องขอให้คุณลงชื่อเข้าสู่ระบบในบัญชี PlayStation Network (PSN) ของคุณก่อน
ปิดหรือถอดปลั๊กคอนโซลเครื่องเล่นวิดีโอเกม
ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที
เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ
เปิดคอนโซลเกมขึ้นใหม่แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย
ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้
ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ
แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง
รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ
ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้
ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน
อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง
ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้
ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง
ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่
เครือข่ายสาธารณะ:
สำหรับ Wi-Fi ในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ โรงแรม หรือโรงเรียน ให้สอบถามว่ามีการบล็อกบริการวิดีโออย่างเช่น Netflix หรือไม่
เครือข่ายส่วนตัว:
ตรวจสอบว่าการเชื่อมต่อช้ากว่าความเร็วที่แนะนำของเราหรือไม่ แล้วติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณหากต้องการความช่วยเหลือ
การเชื่อมต่ออื่นๆ เช่น ฮอตสปอตของมือถือ เครือข่ายมือถือ หรือเครือข่ายดาวเทียม อาจช้าเกินไปสำหรับการใช้งาน Netflix
จากหน้าจอหลักของ Netflix ให้ไปที่ด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู
จากด้านล่างของเมนู ให้ไปที่ด้านขวาแล้วเลือก "ขอความช่วยเหลือ"
เลือก "ออกจากระบบ"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากอยู่ที่หน้าจอแสดงข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้
เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"
เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"
ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง
หากไม่พบ "ออกจากระบบ" ให้กดปุ่มตามลำดับดังนี้บนรีโมท: ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น จากนั้นเลือก "ออกจากระบบ" "รีเซ็ต" หรือ "ปิดใช้งาน"
การถอนการติดตั้ง Netflix
จากแดชบอร์ดของ Xbox 360 ให้ไปที่ Apps (แอป) > My Apps (แอปของฉัน)
เลือกโดยไฮไลท์ที่แอป Netflix
กดปุ่ม "X" สำหรับรายละเอียดของแอป
เลือก Delete (ลบ) > Yes (ใช่)
การติดตั้ง Netflix ใหม่อีกครั้ง
จากแดชบอร์ดของ Xbox 360 ให้ไปที่ Apps (แอป)
เลือก Netflix เพื่อดาวน์โหลดแอป
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
จากเมนูหลักของ Xbox 360 ให้เลือก "การตั้งค่า"
เลือก "การตั้งค่าระบบ"
เลือก "การตั้งค่าเครือข่าย"
ให้เลือก "เครือข่ายแบบใช้สาย" หรือ "เครือข่ายแบบไร้สาย" โดยขึ้นอยู่กับวิธีการใช้
เลือก “ทดสอบการเชื่อมต่อ Xbox LIVE”
เลือก "ดำเนินการต่อ"
หากการทดสอบการเชื่อมต่อประสบผลสำเร็จ ให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อที่ด้านล่าง
หากทดสอบการเชื่อมต่อไม่สำเร็จ โปรดดูที่ ไซต์การสนับสนุนสำหรับ Xbox ของ Microsoft เพื่อรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม
กดปุ่ม "นำทาง" บนอุปกรณ์ควบคุมของคุณ
ไปที่ Settings (การตั้งค่า) แล้วเลือก System Settings (การตั้งค่าระบบ)
เลือก Network Settings (การตั้งค่าเครือข่าย)
เลือกเครือข่ายที่ใช้งาน แล้วเลือก Configure Network (กำหนดค่าเครือข่าย)
เลือก DNS Settings (การตั้งค่า DNS) แล้วเลือก Automatic (อัตโนมัติ)
ปิด Xbox แล้วเปิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
ลองใช้ Netflix อีกครั้ง
กดปุ่ม "นำทาง" บนอุปกรณ์ควบคุมของคุณ
เลือก "การตั้งค่า"
เลือก "การตั้งค่าระบบ"
เลือก "การจัดเก็บข้อมูล"
ไฮไลท์เลือก “หน่วยความจำ”, "ฮาร์ดไดรฟ์", หรือ “อุปกรณ์ยูเอสบีสำหรับเก็บข้อมูล” แล้วกดปุ่ม Y บนอุปกรณ์ควบคุม
เลือก "ล้างหน่วยความจำแคชของระบบ"
หากคุณไม่เห็นข้อความ "ล้างหน่วยความจำแคชของระบบ" โปรดตรวจสอบอุปกรณ์สำหรับเก็บข้อมูล
เมื่อได้รับการแจ้งเตือนให้ยืนยันการบำรุงรักษาอุปกรณ์สำหรับการจัดเก็บข้อมูล ให้เลือก "ใช่"
หลังจากสามารถล้างหน่วยความจำแคชของระบบเรียบร้อยแล้ว ลองเข้าใช้งาน Netflix อีกครั้ง
การถอนการติดตั้งแอป Netflix:
เริ่มต้นจาก "บอร์ดควบคุมของ Xbox"
เลือก "เกมและแอปของฉัน"
เลือก "แอป" จากตัวเลือกทางด้านซ้าย
เลือกโดยไฮไลท์ที่แอป Netflix แล้วกดปุ่ม "เมนู" บนอุปกรณ์ควบคุม
เลือก "จัดการแอป"
เลือก "ถอนการติดตั้งทั้งหมด"
เลือก "ถอนการติดตั้งทั้งหมด" อีกครั้งเพื่อยืนยัน
การติดตั้งแอป Netflix ใหม่อีกครั้ง:
เริ่มต้นจากหน้าจอในหน้าหลักของ Xbox One
เลื่อนไปทางขวาเพื่อเข้าสู่ "ร้านค้า"
ในหัวข้อ "แอป" ให้เลือกNetflix
เลือก "ติดตั้ง"
หลังดาวน์โหลดแอปเสร็จ เลือก "เปิด" เพื่อลงชื่อเข้าสู่ระบบและลองใช้ Netflix อีกครั้ง