หน้าจอเป็นสีดำและไม่มีเสียง

หากหน้าจอเป็นสีดำหรือว่างเปล่าและไม่มีเสียง เมื่อรับชมหรือเปิดใช้ Netflix โดยทั่วไปจะหมายถึงปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์หรือสายสัญญาณที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทำให้ Netflix หยุดเล่น

หมายเหตุ:หากไม่สามารถย้อนกลับไปหน้าจอก่อนหน้าได้ หรืออุปกรณ์ไม่ตอบสนอง โปรดดูขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเหล่านี้

โปรดทำตามขั้นตอนสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งาน เพื่อแก้ไขปัญหา

สมาร์ททีวี

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ Netflix จากนั้นไปทางด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู

  2. จากด้านล่าง ให้เลือกขอความช่วยเหลือ > ออกจากระบบ > ใช่

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากอุปกรณ์อยู่ในหน้าจอข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้

  1. เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"

  2. เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หาไม่พบตัวเลือก รับความช่วยเหลือ หรือ ออกจากระบบ ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มต่อไปนี้บนรีโมทตามลำดับดังนี้ ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น

  2. เลือก ออกจากระบบรีเซ็ต หรือ ปิดใช้งาน จากเมนูที่ปรากฏ

  1. กดปุ่ม Smart Hub บนรีโมท

  2. เลือกโดยไฮไลท์ที่แอป Netflix

  3. กดปุ่ม Tools (เครื่องมือ) บนรีโมท

    • หากไม่มีปุ่ม Tools (เครื่องมือ) ให้ข้ามไปที่ขั้นตอนการแก้ไขปัญหาชุดถัดไป

  4. เลือก Reinstall (ติดตั้งอีกครั้ง)

  5. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากยังมีหน้าจอสีดำปรากฏให้เห็น โปรดลองใช้ Netflix อีกครั้งในอีก 20 นาที เป็นไปได้ที่แอปจะใช้เวลานานประมาณนี้เพื่อตั้งค่าให้เสร็จสมบูรณ์

  1. ปิดหรือถอดปลั๊กสมาร์ททีวี

  2. ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที

  3. เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ

  4. เปิดสมาร์ททีวีขึ้นใหม่ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากมีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อในอุปกรณ์ คุณต้องเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น

การตั้งค่าเหล่านี้ได้แก่

  • การตั้งค่าโมเด็มที่กำหนดเอง

  • การตั้งค่า Virtual Private Network (VPN - เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล) หรือบริการพร็อกซี

  • การตั้งค่า DNS ที่กำหนดเอง

หากต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้ผลิตอุปกรณ์ของคุณ

เมื่อรีเซ็ตการตั้งค่าเหล่านี้แล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย

ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้

  • ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ

  • แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง

  • รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ

ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้

  • ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน

  • อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง

ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้

  • ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง

  • ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ Netflix จากนั้นไปทางด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู

  2. จากด้านล่าง ให้เลือกขอความช่วยเหลือ > ออกจากระบบ > ใช่

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากอุปกรณ์อยู่ในหน้าจอข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้

  1. เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"

  2. เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หาไม่พบตัวเลือก รับความช่วยเหลือ หรือ ออกจากระบบ ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มต่อไปนี้บนรีโมทตามลำดับดังนี้ ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น

  2. เลือก ออกจากระบบรีเซ็ต หรือ ปิดใช้งาน จากเมนูที่ปรากฏ

  1. ปิดหรือถอดปลั๊กสมาร์ททีวี

  2. ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที

  3. เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ

  4. เปิดสมาร์ททีวีขึ้นใหม่ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากมีการเปลี่ยนการตั้งค่าการเชื่อมต่อในอุปกรณ์ คุณต้องเปลี่ยนกลับเป็นค่าเริ่มต้น

การตั้งค่าเหล่านี้ได้แก่

  • การตั้งค่าโมเด็มที่กำหนดเอง

  • การตั้งค่า Virtual Private Network (VPN - เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล) หรือบริการพร็อกซี

  • การตั้งค่า DNS ที่กำหนดเอง

หากต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแก้ไขการตั้งค่าเหล่านี้ โปรดติดต่อผู้ผลิตอุปกรณ์ของคุณ

เมื่อรีเซ็ตการตั้งค่าเหล่านี้แล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย

ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้

  • ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ

  • แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง

  • รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ

ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้

  • ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน

  • อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง

ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้

  • ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง

  • ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่

โทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต

Tablet with power icon indicating turn off process

  1. ปิดโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นการปิดเครื่อง ไม่ใช่แค่ล็อกหน้าจอ

  2. เปิดเครื่องอีกครั้ง

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

ขั้นตอนต่อไปนี้จะลบซีรีส์และภาพยนตร์ที่ดาวน์โหลดไว้ในอุปกรณ์ และนำคุณออกจากระบบบัญชี Netflix ที่ใช้งาน

หากใช้โทรศัพท์หรือแท็บเล็ต Android ให้เปิดหน้า Netflix ใน Play Store จากนั้นแตะ "ถอนการติดตั้ง" แล้วแตะ "ติดตั้ง"

ขั้นตอนต่อไปนี้ใช้ติดตั้งแอปใหม่อีกครั้งได้เช่นกัน

  1. เปิดแอป Play Store แล้วค้นหา "Netflix"

  2. ค้นหาแล้วแตะที่แอป Netflix จากรายการที่แสดง

  3. แตะ "ถอนการติดตั้ง"

  4. แตะ "ติดตั้ง" แล้วรอจนระบบติดตั้งเสร็จ

  5. แตะ "เปิด" แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. กดปุ่มด้านข้างและปุ่มปรับระดับเสียงปุ่มหนึ่งค้างไว้พร้อมกันจนกว่าแถบเลื่อนจะปรากฏขึ้น ลากแถบเลื่อนด้านบนเพื่อปิดอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์

    • หากแถบเลื่อนไม่ปรากฏ ให้กดปุ่ม Sleep/Wake ค้างไว้จนแถบเลื่อนสีแดงปรากฏขึ้น แล้วจึงลากแถบเลื่อนดังกล่าว

  2. หลังจาก 10 วินาที กดปุ่ม Sleep/Wake

  3. เมื่ออุปกรณ์เปิดทำงานเรียบร้อยแล้ว ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

การถอนการติดตั้งแอปจะลบเนื้อหาดาวน์โหลดทั้งหมดที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ และนำคุณออกจากระบบ Netflix

  1. ไปที่หน้าจอหลัก แล้วแตะที่แอป Netflix ค้างไว้

  2. แตะ Remove App (ลบแอป) > Delete App (ลบแอป) > Delete (ลบ)

  3. เปิด App Store และ ค้นหา "Netflix"

  4. แตะที่ Netflix แล้วแตะไอคอนรูปคลาวด์เพื่อดาวน์โหลดแอป อาจต้องป้อนรหัสผ่าน Apple ID ของคุณ หากลืมรหัสผ่าน ให้ทำตามขั้นตอนรีเซ็ตรหัสผ่านของ Apple

  5. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หมายเหตุ:หากไม่พบแอป Netflix หลังจากลบออกแล้ว ให้ทำตามขั้นตอนของ Apple ในการดาวน์โหลดแอปจาก App Store อีกครั้ง

ตรวจให้แน่ใจว่าระบบรองรับอะแดปเตอร์วิดีโอที่ใช้งาน

  1. ถอดสายเคเบิลทั้งหมดที่เชื่อมต่ออะแดปเตอร์ออก จากนั้นเชื่อมต่อกับ iPhone หรือ iPad

  2. ไปที่ Settings (การตั้งค่า) > General (ทั่วไป) > About (เกี่ยวกับ) > Apple HDMI Adapter (อะแดปเตอร์ Apple HDMI)

  3. ตรวจสอบเลขที่รุ่น

สำหรับปัญหาที่พบในอุปกรณ์ iPhone และ iPad ที่ใช้พอร์ต USB-C ตัวเลือกต่อไปนี้อาจช่วยได้

  • ตรวจให้แน่ใจว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตที่ถูกต้องในทีวีหรือหน้าจอแล้ว

  • ตรวจให้แน่ใจว่าอะแดปเตอร์หรือสายวิดีโอรองรับ HDCP 2.2

  • ลองสลับปลายอะแดปเตอร์หรือสายวิดีโอ

  • หากทำได้ ให้ลองเชื่อมต่อกับพอร์ตวิดีโออื่นในทีวีหรือหน้าจอ

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลัก แล้วแตะ Appstore

  2. แตะเมนู ที่ด้านซ้ายบน จากนั้นแตะการอัปเดตแอป

  3. ค้นหาแอป Netflix จากรายการที่แสดง แล้วแตะอัปเดต หากไม่พบแอป Netflix ในรายการ แสดงว่าอัปเดตแล้ว

  4. หลังจากอัปเดตเสร็จ ให้แตะเปิด แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

เครื่องเล่นมีเดียสตรีมมิง

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

กลับไปที่เมนูก่อนหน้าแล้วลองเปิดแอป Netflix อีกครั้ง

หาก Netflix ไม่ตอบสนองและไม่สามารถย้อนกลับไปที่เมนูก่อนหน้าได้ ให้ใช้บทความนี้แทน

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

วิธีลบแอป Netflix

  1. กดปุ่ม Home (หน้าหลัก) บนรีโมท Roku

  2. ในรายชื่อแอปทางด้านขวา ให้เลื่อนลงไปเพื่อค้นหาแอป Netflix

  3. กดปุ่มดาว บนรีโมท Roku

  4. เลือก Remove app (ลบแอป) > Remove (ลบ)

วิธีเพิ่มแอป Netflix

  1. กดปุ่ม Netflix บนรีโมท Roku

  2. เลือก Add channel (เพิ่มช่อง) > OK (ตกลง) > Go to channel (ไปที่ช่อง)

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

  1. กดปุ่มเมนูบนรีโมทของ Apple TV ค้างไว้จนกว่าจะกลับไปยังหน้าจอหลัก

  2. เลือก Settings (การตั้งค่า) > System (ระบบ) > Restart (รีสตาร์ท)

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

อาจมีปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้กับทีวี

วิธีแก้ไขปัญหา

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สาย HDMI

  2. ให้ลองสลับปลายสาย HDMI

  3. เลี่ยงไม่เชื่อมผ่านตัวรับสัญญาณหรือระบบเสียง โดยเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับทีวีโดยตรงโดยใช้สาย HDMI

  4. ลองเชื่อมต่อกับพอร์ต HDMI ของทีวีพอร์ตอื่น

  5. ลองใช้สายเคเบิล HDMI ใหม่

  6. ถ้ามี ให้ลองพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องอื่น

    • หากสามารถสตรีมได้ในทีวีเครื่องอื่น แสดงว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องเดิม โปรดติดต่อผู้ผลิตทีวีเพื่อขอความช่วยเหลือ

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ Netflix จากนั้นไปทางด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู

  2. จากด้านล่าง ให้เลือกขอความช่วยเหลือ > ออกจากระบบ > ใช่

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากอุปกรณ์อยู่ในหน้าจอข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้

  1. เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"

  2. เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หาไม่พบตัวเลือก รับความช่วยเหลือ หรือ ออกจากระบบ ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มต่อไปนี้บนรีโมทตามลำดับดังนี้ ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น

  2. เลือก ออกจากระบบรีเซ็ต หรือ ปิดใช้งาน จากเมนูที่ปรากฏ

  1. ปิดหรือถอดปลั๊กเครื่องเล่น Blu-ray

  2. ถอดปลั๊กโมเด็ม (และเราเตอร์ไร้สาย หากเป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหาก) ออกจากช่องเสียบปลั๊กไฟเป็นเวลา 30 วินาที

  3. เสียบปลั๊กโมเด็มของคุณและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ หากเราเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่แยกต่างหากจากโมเด็ม ให้เสียบปลั๊กและรอจนกระทั่งไฟแสดงสถานะใหม่หยุดกะพริบ

  4. เปิดเครื่องเล่น Blu-ray ขึ้นใหม่ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากขั้นตอนดังกล่าวไม่ช่วยแก้ไขปัญหา ให้ติดต่อผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ของคุณเพื่อขอรับความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาการเชื่อมต่อเครือข่าย

ISP สามารถดำเนินการต่อไปนี้ได้

  • ตรวจสอบสภาพขัดข้องของอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ของคุณ

  • แก้ไขปัญหาทั่วไปเกี่ยวกับเราเตอร์หรือโมเด็ม และการตั้งค่าเครือข่ายที่ไม่ถูกต้อง

  • รีสตาร์ทหรือรีเซ็ตการเชื่อมต่อเครือข่ายของคุณ

ระหว่างพูดคุย ให้แจ้งข้อมูลกับ ISP ดังต่อไปนี้

  • ปัญหาเกิดขึ้นเฉพาะในอุปกรณ์เครื่องเดียว หรืออุปกรณ์อื่นที่ใช้เครือข่ายเดียวกัน

  • อุปกรณ์ของคุณเชื่อมต่อโดยใช้ Wi-Fi หรือใช้สายต่อโดยตรง

ก่อนจบการพูดคุยกับ ISP ให้ดำเนินการดังนี้

  • ไปที่ fast.com โดยใช้เว็บเบราว์เซอร์ เพื่อทดสอบความเร็วและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตกับ Netflix โดยตรง

  • ลองเล่นเนื้อหาใน Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

อาจมีปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้กับทีวี

วิธีแก้ไขปัญหา

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สาย HDMI

  2. ให้ลองสลับปลายสาย HDMI

  3. เลี่ยงไม่เชื่อมผ่านตัวรับสัญญาณหรือระบบเสียง โดยเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับทีวีโดยตรงโดยใช้สาย HDMI

  4. ลองเชื่อมต่อกับพอร์ต HDMI ของทีวีพอร์ตอื่น

  5. ลองใช้สายเคเบิล HDMI ใหม่

  6. ถ้ามี ให้ลองพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องอื่น

    • หากสามารถสตรีมได้ในทีวีเครื่องอื่น แสดงว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องเดิม โปรดติดต่อผู้ผลิตทีวีเพื่อขอความช่วยเหลือ

คอมพิวเตอร์

ทำตามขั้นตอนสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้

Chrome:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก More Tools (เครื่องมืออื่นๆ) > Clear Browsing Data... (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิก "ขั้นสูง"

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ "ช่วงเวลา" ให้เลือก "เวลาทั้งหมด"

  5. เลือก "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Firefox:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy & Security (ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย)

  3. เลื่อนลงแล้วคลิก Clear History (ล้างประวัติ)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time Range to Clear (ช่วงเวลาที่จะล้าง) ให้เลือก Everything (ทั้งหมด)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น Cache (แคช)

  6. คลิก OK (ตกลง) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Microsoft Edge:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy, Search, and Services (ความเป็นส่วนตัว การค้นหา และบริการ)

  3. ในส่วน Clear browsing data (ล้างข้อมูลการเรียกดู) ให้คลิก Choose What to Clear (เลือกรายการที่จะล้าง)

  4. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมด ยกเว้น Cached images and files (ไฟล์และข้อมูลที่แคช) และ Cookies and other site data (คุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ)

  5. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  6. คลิก Clear now (ล้างตอนนี้) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Opera

  1. คลิก History (ประวัติ) จากแถบด้านข้างเมนูทางซ้าย

  2. คลิก Clear Browsing Data (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิกแท็บ Advanced (ขั้นสูง)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ

  2. เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. คลิก "เพิ่มเติม" ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก "ความช่วยเหลือ" > "เกี่ยวกับ Google Chrome"

  3. รอให้ Chrome ตรวจสอบการอัปเดตใหม่โดยอัตโนมัติ

  4. หากมีอัปเดตที่พร้อมใช้งาน ให้คลิก "เปิดใหม่"

  5. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากใช้งาน Chrome คุณสามารถปิดส่วนเสริมที่ไม่จำเป็นได้

  1. พิมพ์ chrome://extensions ในแถบที่อยู่

  2. ปิดส่วนขยายที่เปิดอยู่ทั้งหมด

    หมายเหตุ:ไม่จำเป็นต้องปิดส่วนขยายที่อยู่ในรายการ "แอป Chrome"

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากขั้นตอนเหล่านี้แก้ไขปัญหาได้ ให้ลองเปิดส่วนขยายทีละรายการเพื่อให้ทราบว่าส่วนขยายใดที่ขัดขวางไม่ให้ Netflix ทำงานได้อย่างถูกต้อง

  1. ปิดเบราว์เซอร์ทั้งหมดที่เปิดไว้ รวมทั้งหน้าต่างนี้ด้วย! คุณอาจต้องการพิมพ์ขั้นตอนต่อไปนี้ไว้

  2. คลิกที่ Start Menu (เมนูเริ่มต้น) ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ

  3. เลือก All Programs (โปรแกรมทั้งหมด)

  4. จากรายการที่ระบุไว้ คลิกขวา (หรือกดหน้าจอค้างไว้สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส) บนไอคอนของเบราว์เซอร์ที่ต้องการใช้ (สามารถใช้งาน Netflix ได้ใน Internet Explorer, Firefox, Opera และ Google Chrome)

  5. เลือก Run as Administrator (เปิดใช้งานในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  6. หากมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้น เลือก Allow (อนุญาต)

  7. ใช้หน้าต่างที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่นี้เพื่อรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์อีกครั้ง

    • การลองเล่นอีกครั้งจากหน้าต่างเดิมของเบราว์เซอร์มีแนวโน้มที่ข้อผิดพลาดเดิมจะแสดงขึ้น

    • หากขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถสตรีมรายการทีวีและภาพยนตร์จาก Netflix.com ได้ แสดงว่าบัญชีของคุณไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ ปรึกษากับผู้ผลิต/ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อเพิ่มสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบให้กับบัญชีของคุณ

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

  1. ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ

  2. เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

สำหรับคำแนะนำในการอัปเดต ให้คลิกที่ลิงก์สำหรับเบราว์เซอร์ที่ใช้งานด้านล่าง

หากไม่มีการอัปเดตให้ใช้ได้ หรือเบราว์เซอร์ไม่อยู่ในรายการ ให้ไปที่ขั้นตอนถัดไป

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

  1. เลือก History (ประวัติ) จากแถบเมนูใน Safari

  2. เลือก Clear History (ล้างประวัติ)..

  3. เลือก All History (ประวัติทั้งหมด) จากเมนูดรอปดาวน์

  4. เลือก Clear History (ล้างประวัติ) เพื่อยืนยัน

  5. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

ทำตามขั้นตอนสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้

Chrome:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก More Tools (เครื่องมืออื่นๆ) > Clear Browsing Data... (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิก "ขั้นสูง"

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ "ช่วงเวลา" ให้เลือก "เวลาทั้งหมด"

  5. เลือก "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Firefox:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy & Security (ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย)

  3. เลื่อนลงแล้วคลิก Clear History (ล้างประวัติ)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time Range to Clear (ช่วงเวลาที่จะล้าง) ให้เลือก Everything (ทั้งหมด)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น Cache (แคช)

  6. คลิก OK (ตกลง) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Microsoft Edge:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy, Search, and Services (ความเป็นส่วนตัว การค้นหา และบริการ)

  3. ในส่วน Clear browsing data (ล้างข้อมูลการเรียกดู) ให้คลิก Choose What to Clear (เลือกรายการที่จะล้าง)

  4. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมด ยกเว้น Cached images and files (ไฟล์และข้อมูลที่แคช) และ Cookies and other site data (คุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ)

  5. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  6. คลิก Clear now (ล้างตอนนี้) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Opera

  1. คลิก History (ประวัติ) จากแถบด้านข้างเมนูทางซ้าย

  2. คลิก Clear Browsing Data (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิกแท็บ Advanced (ขั้นสูง)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ

  2. เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. คลิก การตั้งค่าและอื่นๆ > ข้อมูลความช่วยเหลือและคำติชม > เกี่ยวกับ Microsoft Edge

  2. คลิก "ดาวน์โหลดและติดตั้ง"

  3. เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้คลิก "รีสตาร์ท"

  4. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากได้รับข้อผิดพลาดหรือต้องการความช่วยเหลือขณะอัปเดตเบราว์เซอร์ โปรดไปที่เว็บไซต์สนับสนุนของ Microsoft

ใช้ลิงก์ด้านล่างเพื่อดูขั้นตอนในการอัปเดตเวอร์ชัน Windows ที่ใช้อยู่ จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

คอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Windows XP, Vista, 7 หรือ 8.1 ไม่ได้รับการรองรับโดย Microsoft อีกต่อไป และไม่สามารถอัปเดตเวอร์ชันที่ใช้งานกับ Netflix ได้ สำรวจตัวเลือกหรือดูข้อมูลเพิ่มเติม โดยไปที่เว็บไซต์สนับสนุนของ Microsoft

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

  1. ปิดเบราว์เซอร์ทั้งหมดที่เปิดไว้ รวมทั้งหน้าต่างนี้ด้วย! คุณอาจต้องการพิมพ์ขั้นตอนต่อไปนี้ไว้

  2. คลิกที่ Start Menu (เมนูเริ่มต้น) ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ

  3. เลือก All Programs (โปรแกรมทั้งหมด)

  4. จากรายการที่ระบุไว้ คลิกขวา (หรือกดหน้าจอค้างไว้สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส) บนไอคอนของเบราว์เซอร์ที่ต้องการใช้ (สามารถใช้งาน Netflix ได้ใน Internet Explorer, Firefox, Opera และ Google Chrome)

  5. เลือก Run as Administrator (เปิดใช้งานในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  6. หากมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้น เลือก Allow (อนุญาต)

  7. ใช้หน้าต่างที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่นี้เพื่อรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์อีกครั้ง

    • การลองเล่นอีกครั้งจากหน้าต่างเดิมของเบราว์เซอร์มีแนวโน้มที่ข้อผิดพลาดเดิมจะแสดงขึ้น

    • หากขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถสตรีมรายการทีวีและภาพยนตร์จาก Netflix.com ได้ แสดงว่าบัญชีของคุณไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ ปรึกษากับผู้ผลิต/ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อเพิ่มสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบให้กับบัญชีของคุณ

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

  1. ขณะอยู่ในแอป Netflix ให้เลือก "ตัวเลือกเพิ่มเติม" ที่ด้านบนขวา

  2. เลือก "ออกจากระบบ"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

คุณอาจต้องอัปเดตไดรเวอร์วิดีโอของคอมพิวเตอร์ หรือติดตั้งไดรเวอร์วิดีโอที่ Windows 10 รองรับ

ฝ่ายบริการลูกค้าของ Netflix จะให้ความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ไม่ได้ หากไม่สะดวกที่จะดำเนินการด้วยตัวเอง ให้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์

  • หากคอมพิวเตอร์ของคุณใช้การ์ดกราฟิกหรือ GPU ให้ใช้ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งพร้อมตัวการ์ดเพื่ออัปเดตไดรเวอร์วิดีโอ

    หมายเหตุ:AMD และ NVIDIA คือผู้ผลิต GPU และซอฟต์แวร์ GPU ที่นิยมที่สุด

  • หากการอัปเดตไม่สามารถแก้ไขปัญหา หรือไม่มีอัปเดตที่พร้อมใช้งาน ให้ถอนการติดตั้งไดรเวอร์แล้วติดตั้งอีกครั้ง

  • หากไม่มีไดรเวอร์วิดีโอสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณที่ Windows 10 รองรับ ให้ลองเล่น Netflix โดยใช้อุปกรณ์หรือเบราว์เซอร์อื่น เช่น Google Chrome, Mozilla Firefox หรือ Opera

ใช้ลิงก์ด้านล่างเพื่อดูขั้นตอนในการอัปเดตเวอร์ชัน Windows ที่ใช้อยู่ จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

คอมพิวเตอร์ที่ติดตั้ง Windows XP, Vista, 7 หรือ 8.1 ไม่ได้รับการรองรับโดย Microsoft อีกต่อไป และไม่สามารถอัปเดตเวอร์ชันที่ใช้งานกับ Netflix ได้ สำรวจตัวเลือกหรือดูข้อมูลเพิ่มเติม โดยไปที่เว็บไซต์สนับสนุนของ Microsoft

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

  1. ปิดเบราว์เซอร์ทั้งหมดที่เปิดไว้ รวมทั้งหน้าต่างนี้ด้วย! คุณอาจต้องการพิมพ์ขั้นตอนต่อไปนี้ไว้

  2. คลิกที่ Start Menu (เมนูเริ่มต้น) ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ

  3. เลือก All Programs (โปรแกรมทั้งหมด)

  4. จากรายการที่ระบุไว้ คลิกขวา (หรือกดหน้าจอค้างไว้สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส) บนไอคอนของเบราว์เซอร์ที่ต้องการใช้ (สามารถใช้งาน Netflix ได้ใน Internet Explorer, Firefox, Opera และ Google Chrome)

  5. เลือก Run as Administrator (เปิดใช้งานในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  6. หากมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้น เลือก Allow (อนุญาต)

  7. ใช้หน้าต่างที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่นี้เพื่อรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์อีกครั้ง

    • การลองเล่นอีกครั้งจากหน้าต่างเดิมของเบราว์เซอร์มีแนวโน้มที่ข้อผิดพลาดเดิมจะแสดงขึ้น

    • หากขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถสตรีมรายการทีวีและภาพยนตร์จาก Netflix.com ได้ แสดงว่าบัญชีของคุณไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ ปรึกษากับผู้ผลิต/ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อเพิ่มสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบให้กับบัญชีของคุณ

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

ทำตามขั้นตอนสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้

Chrome:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก More Tools (เครื่องมืออื่นๆ) > Clear Browsing Data... (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิก "ขั้นสูง"

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ "ช่วงเวลา" ให้เลือก "เวลาทั้งหมด"

  5. เลือก "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Firefox:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy & Security (ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย)

  3. เลื่อนลงแล้วคลิก Clear History (ล้างประวัติ)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time Range to Clear (ช่วงเวลาที่จะล้าง) ให้เลือก Everything (ทั้งหมด)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น Cache (แคช)

  6. คลิก OK (ตกลง) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Microsoft Edge:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy, Search, and Services (ความเป็นส่วนตัว การค้นหา และบริการ)

  3. ในส่วน Clear browsing data (ล้างข้อมูลการเรียกดู) ให้คลิก Choose What to Clear (เลือกรายการที่จะล้าง)

  4. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมด ยกเว้น Cached images and files (ไฟล์และข้อมูลที่แคช) และ Cookies and other site data (คุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ)

  5. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  6. คลิก Clear now (ล้างตอนนี้) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Opera

  1. คลิก History (ประวัติ) จากแถบด้านข้างเมนูทางซ้าย

  2. คลิก Clear Browsing Data (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิกแท็บ Advanced (ขั้นสูง)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ

  2. เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) แล้วเลื่อนลงไปที่ Firefox Updates (การอัปเดต Firefox)

  3. คลิก Restart to Update Firefox (เริ่มต้นใหม่เพื่ออัปเดต Firefox) หากเห็นข้อความ "Firefox เป็นรุ่นล่าสุดแล้ว" แสดงว่าเบราว์เซอร์ที่ใช้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

  4. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากมีปัญหาในการอัปเดต Firefox หรือได้รับข้อผิดพลาด Update Failed (อัปเดตไม่สำเร็จ) ให้ทำตามขั้นตอนของ Mozilla เพื่อแก้ไขปัญหาการอัปเดตซอฟต์แวร์

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

  1. ปิดเบราว์เซอร์ทั้งหมดที่เปิดไว้ รวมทั้งหน้าต่างนี้ด้วย! คุณอาจต้องการพิมพ์ขั้นตอนต่อไปนี้ไว้

  2. คลิกที่ Start Menu (เมนูเริ่มต้น) ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ

  3. เลือก All Programs (โปรแกรมทั้งหมด)

  4. จากรายการที่ระบุไว้ คลิกขวา (หรือกดหน้าจอค้างไว้สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส) บนไอคอนของเบราว์เซอร์ที่ต้องการใช้ (สามารถใช้งาน Netflix ได้ใน Internet Explorer, Firefox, Opera และ Google Chrome)

  5. เลือก Run as Administrator (เปิดใช้งานในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  6. หากมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้น เลือก Allow (อนุญาต)

  7. ใช้หน้าต่างที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่นี้เพื่อรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์อีกครั้ง

    • การลองเล่นอีกครั้งจากหน้าต่างเดิมของเบราว์เซอร์มีแนวโน้มที่ข้อผิดพลาดเดิมจะแสดงขึ้น

    • หากขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถสตรีมรายการทีวีและภาพยนตร์จาก Netflix.com ได้ แสดงว่าบัญชีของคุณไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ ปรึกษากับผู้ผลิต/ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อเพิ่มสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบให้กับบัญชีของคุณ

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

ทำตามขั้นตอนสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้

Chrome:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก More Tools (เครื่องมืออื่นๆ) > Clear Browsing Data... (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิก "ขั้นสูง"

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ "ช่วงเวลา" ให้เลือก "เวลาทั้งหมด"

  5. เลือก "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Firefox:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy & Security (ความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย)

  3. เลื่อนลงแล้วคลิก Clear History (ล้างประวัติ)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time Range to Clear (ช่วงเวลาที่จะล้าง) ให้เลือก Everything (ทั้งหมด)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น Cache (แคช)

  6. คลิก OK (ตกลง) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Microsoft Edge:

  1. คลิก More (เพิ่มเติม) ที่มุมขวาบนของเบราว์เซอร์

  2. คลิก Settings (การตั้งค่า) จากนั้นคลิก Privacy, Search, and Services (ความเป็นส่วนตัว การค้นหา และบริการ)

  3. ในส่วน Clear browsing data (ล้างข้อมูลการเรียกดู) ให้คลิก Choose What to Clear (เลือกรายการที่จะล้าง)

  4. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมด ยกเว้น Cached images and files (ไฟล์และข้อมูลที่แคช) และ Cookies and other site data (คุกกี้และข้อมูลเว็บไซต์อื่นๆ)

  5. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  6. คลิก Clear now (ล้างตอนนี้) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

Opera

  1. คลิก History (ประวัติ) จากแถบด้านข้างเมนูทางซ้าย

  2. คลิก Clear Browsing Data (ล้างข้อมูลการเรียกดู)

  3. คลิกแท็บ Advanced (ขั้นสูง)

  4. ในเมนูดรอปดาวน์ Time range (ช่วงเวลา) ให้เลือก All time (ทุกช่วง)

  5. ยกเลิกตัวเลือกทั้งหมดยกเว้น "รูปภาพและไฟล์ที่แคช"

  6. คลิก Clear Data (ล้างข้อมูล) จากนั้นลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่ netflix.com/clearcookies ขั้นตอนนี้จะทำให้คุณออกจากระบบบัญชีของคุณ

  2. เลือก "เข้าสู่ระบบ" และป้อนอีเมลและรหัสผ่านของคุณที่ใช้กับ Netflix

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง

  • ติดตั้งการอัปเดตสำหรับซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยของคุณ

  • ปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยชั่วคราวแล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

    • หากปัญหาได้รับการแก้ไขเมื่อปิดซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยแล้ว เป็นไปได้ว่าซอฟต์แวร์เป็นเวอร์ชันเก่าหรือขัดขวางการทำงานของ Netflix โดยไม่ตั้งใจ เปิดใช้งานอีกครั้ง แล้วติดต่อผู้ผลิตซอฟต์แวร์สำหรับความช่วยเหลือ

  1. ปิดเบราว์เซอร์ทั้งหมดที่เปิดไว้ รวมทั้งหน้าต่างนี้ด้วย! คุณอาจต้องการพิมพ์ขั้นตอนต่อไปนี้ไว้

  2. คลิกที่ Start Menu (เมนูเริ่มต้น) ที่มุมซ้ายล่างของหน้าจอ

  3. เลือก All Programs (โปรแกรมทั้งหมด)

  4. จากรายการที่ระบุไว้ คลิกขวา (หรือกดหน้าจอค้างไว้สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอสัมผัส) บนไอคอนของเบราว์เซอร์ที่ต้องการใช้ (สามารถใช้งาน Netflix ได้ใน Internet Explorer, Firefox, Opera และ Google Chrome)

  5. เลือก Run as Administrator (เปิดใช้งานในฐานะผู้ดูแลระบบ)

  6. หากมีการแจ้งเตือนแสดงขึ้น เลือก Allow (อนุญาต)

  7. ใช้หน้าต่างที่เพิ่งเปิดขึ้นใหม่นี้เพื่อรับชมรายการทีวีและภาพยนตร์อีกครั้ง

    • การลองเล่นอีกครั้งจากหน้าต่างเดิมของเบราว์เซอร์มีแนวโน้มที่ข้อผิดพลาดเดิมจะแสดงขึ้น

    • หากขั้นตอนเหล่านี้ทำให้คุณสามารถสตรีมรายการทีวีและภาพยนตร์จาก Netflix.com ได้ แสดงว่าบัญชีของคุณไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ ปรึกษากับผู้ผลิต/ผู้ดูแลระบบคอมพิวเตอร์ของคุณ เพื่อเพิ่มสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบให้กับบัญชีของคุณ

ปัญหานี้อาจเกิดจากโปรแกรมแอดแวร์ที่ติดตั้งบนเครื่องของคุณ สำหรับขั้นตอนแบบละเอียดในการแก้ปัญหานี้ โปรดดูบทความเรื่อง โฆษณาและป๊อปอัพเมื่อสตรีมมิง

คอนโซลเกม

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

อาจมีปัญหาการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้กับทีวี

วิธีแก้ไขปัญหา

  1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้สาย HDMI

  2. ให้ลองสลับปลายสาย HDMI

  3. เลี่ยงไม่เชื่อมผ่านตัวรับสัญญาณหรือระบบเสียง โดยเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับทีวีโดยตรงโดยใช้สาย HDMI

  4. ลองเชื่อมต่อกับพอร์ต HDMI ของทีวีพอร์ตอื่น

  5. ลองใช้สายเคเบิล HDMI ใหม่

  6. ถ้ามี ให้ลองพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องอื่น

    • หากสามารถสตรีมได้ในทีวีเครื่องอื่น แสดงว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับพอร์ต HDMI ของทีวีเครื่องเดิม โปรดติดต่อผู้ผลิตทีวีเพื่อขอความช่วยเหลือ

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

การถอนการติดตั้งแอป Netflix

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ PS3 โดยกดปุ่ม PS > Quit (ออก) > Yes (ใช่)

  2. ไปที่ส่วน TV/Video Services (บริการทีวี/วิดีโอ) และไฮไลท์ที่ Netflix

  3. กดปุ่มสามเหลี่ยม

  4. เลือก Delete (ลบ)

  5. เลือก Yes (ใช่)

การติดตั้งแอป Netflix ใหม่อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ PS3 โดยกดปุ่ม PS > Quit (ออก) > Yes (ใช่)

  2. ไปที่หัวข้อ TV/Video Services (บริการทีวี/วิดีโอ) และเลือก Netflix

  3. เลือก Yes (ใช่) เพื่อดาวน์โหลด

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

หากคุณใช้ Netflix ในอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี

  • ให้ตรวจสอบว่า สายเคเบิ้ลต่างๆ เชื่อมต่ออุปกรณ์สตรีมมิงกับทีวีอย่างมั่นคง และอุปกรณ์ทั้งสองเครื่องเปิดอยู่

  • ตรวจสอบว่าเลือกช่องสัญญาณวิดีโออินพุตของทีวีไปที่อุปกรณ์สตรีมมิงแล้ว วิธีเปลี่ยนสัญญาณอินพุต ให้กดปุ่มสัญญาณอินพุต บนรีโมททีวี

    หมายเหตุ:ปุ่มหรือขั้นตอนการเปลี่ยนสัญญาณอินพุตอาจแตกต่างกันไปในทีวีแต่ละรุ่น หากต้องการความช่วยเหลือในขั้นตอนนี้ ให้ติดต่อบริษัทผู้ผลิตทีวีที่ใช้งาน

ปัญหานี้เกิดจากการเชื่อมต่อสายสัญญาณระหว่าง Xbox กับหน้าจอ

โปรดไปที่เว็บไซต์การสนับสนุนของ Microsoft เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับหน้าจอทีวีหรือจอภาพเป็นสีดำหรือว่างเปล่า

บทความที่เกี่ยวข้อง