Netflix และอุปกรณ์ค้าง

หากทั้ง Netflix กับอุปกรณ์ที่ใช้งานค้างและกลับไปที่อุปกรณ์ไม่ได้เลย โดยทั่วไปจะหมายความว่าต้องมีการรีเฟรชข้อมูลที่เก็บไว้ในอุปกรณ์

หมายเหตุ:หากค้างเฉพาะ Netflix แต่อุปกรณ์ยังใช้งานได้ ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้แทน

โปรดทำตามขั้นตอนสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งาน เพื่อแก้ไขปัญหา

ขั้นตอนเหล่านี้จะแก้ไขปัญหาการค้างในสมาร์ททีวีและอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับทีวี รวมทั้ง Streaming Stick และเครื่องเล่นมีเดีย, กล่องรับสัญญาณ, Apple TV และคอนโซลเกม Xbox หรือ PlayStation

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ Netflix จากนั้นไปทางด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู

  2. จากด้านล่าง ให้เลือกขอความช่วยเหลือ > ออกจากระบบ > ใช่

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากอุปกรณ์อยู่ในหน้าจอข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้

  1. เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"

  2. เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หาไม่พบตัวเลือก รับความช่วยเหลือ หรือ ออกจากระบบ ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มต่อไปนี้บนรีโมทตามลำดับดังนี้ ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น

  2. เลือก ออกจากระบบรีเซ็ต หรือ ปิดใช้งาน จากเมนูที่ปรากฏ

การทำขั้นตอนเหล่านี้อาจลบแอป ข้อมูล หรือการตั้งค่าที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ ก่อนดำเนินการต่อ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่า ทราบชื่อและรหัสผ่านของ Wi-Fi รวมทั้งข้อมูลเข้าสู่ระบบ Netflix แล้ว

สำหรับวิธีแก้ไขปัญหานี้ คุณจะต้องติดต่อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้งาน

เมื่อพูดคุยกับทางผู้ผลิต ให้ขอความช่วยเหลือสำหรับขั้นตอนต่อไปนี้ หลังจากทำแต่ละขั้นตอนแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าแก้ไขปัญหาได้หรือยัง

  1. อัปเดตเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

  2. คืนค่าอุปกรณ์เป็นการตั้งค่าเริ่มต้น เหมือนตอนเปิดใช้ครั้งแรก

หากผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ หรือขั้นตอนเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผล คุณจะต้องใช้อุปกรณ์อื่นในการรับชม Netflix

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. กดปุ่มบน Chromecast ค้างไว้ 25 วินาที หรือจนกระทั่งเห็นไฟแสดงสถานะกระพริบ

    หมายเหตุ:การรีเซ็ตค่า Chromecast จะลบค่าต่างๆ ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ในอุปกรณ์ออกไป ทำตามขั้นตอนของ Google เพื่อตั้งค่า Chromecast ใหม่

  2. เมื่อรีเซ็ตค่าของอุปกรณ์แล้ว ให้เชื่อมโยงอุปกรณ์กับบัญชี Netflix ของคุณอีกครั้ง

  1. กดปุ่มด้านข้างและปุ่มปรับระดับเสียงปุ่มหนึ่งค้างไว้พร้อมกันจนกว่าแถบเลื่อนจะปรากฏขึ้น ลากแถบเลื่อนด้านบนเพื่อปิดอุปกรณ์อย่างสมบูรณ์

    • หากแถบเลื่อนไม่ปรากฏ ให้กดปุ่ม Sleep/Wake ค้างไว้จนแถบเลื่อนสีแดงปรากฏขึ้น แล้วจึงลากแถบเลื่อนดังกล่าว

  2. หลังจาก 10 วินาที กดปุ่ม Sleep/Wake

  3. เมื่ออุปกรณ์เปิดทำงานเรียบร้อยแล้ว ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

การรีเซ็ตแอปจะลบเนื้อหาดาวน์โหลดทั้งหมดที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ และนำคุณออกจากระบบ Netflix

  1. ไปที่หน้าจอหลัก แล้วแตะ "การตั้งค่า"

  2. เลื่อนลงแล้วแตะ Netflix

  3. เลื่อนสวิตช์รีเซ็ตไปที่ตำแหน่งเปิดเพื่อรีเซ็ตแอป

  4. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

การถอนการติดตั้งแอปจะลบเนื้อหาดาวน์โหลดทั้งหมดที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ และนำคุณออกจากระบบ Netflix

  1. ไปที่หน้าจอหลัก แล้วแตะที่แอป Netflix ค้างไว้

  2. แตะ Remove App (ลบแอป) > Delete App (ลบแอป) > Delete (ลบ)

  3. เปิด App Store และ ค้นหา "Netflix"

  4. แตะที่ Netflix แล้วแตะไอคอนรูปคลาวด์เพื่อดาวน์โหลดแอป อาจต้องป้อนรหัสผ่าน Apple ID ของคุณ หากลืมรหัสผ่าน ให้ทำตามขั้นตอนรีเซ็ตรหัสผ่านของ Apple

  5. เมื่อติดตั้งเสร็จแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หมายเหตุ:หากไม่พบแอป Netflix หลังจากลบออกแล้ว ให้ทำตามขั้นตอนของ Apple ในการดาวน์โหลดแอปจาก App Store อีกครั้ง

Tablet with power icon indicating turn off process

  1. ปิดโทรศัพท์หรือแท็บเล็ต ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นการปิดเครื่อง ไม่ใช่แค่ล็อกหน้าจอ

  2. เปิดเครื่องอีกครั้ง

  3. ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

ขั้นตอนต่อไปนี้จะลบซีรีส์และภาพยนตร์ที่ดาวน์โหลดไว้ในอุปกรณ์ และนำคุณออกจากระบบบัญชี Netflix ที่ใช้งาน

หากใช้โทรศัพท์หรือแท็บเล็ต Android ให้เปิดหน้า Netflix ใน Play Store จากนั้นแตะ "ถอนการติดตั้ง" แล้วแตะ "ติดตั้ง"

ขั้นตอนต่อไปนี้ใช้ติดตั้งแอปใหม่อีกครั้งได้เช่นกัน

  1. เปิดแอป Play Store แล้วค้นหา "Netflix"

  2. ค้นหาแล้วแตะที่แอป Netflix จากรายการที่แสดง

  3. แตะ "ถอนการติดตั้ง"

  4. แตะ "ติดตั้ง" แล้วรอจนระบบติดตั้งเสร็จ

  5. แตะ "เปิด" แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ในการเชื่อมต่อ Xbox กับบัญชี Netflix ตรวจให้แน่ใจว่าได้เข้าสู่ระบบบัญชี Xbox Live ของคุณ

  2. เมื่อเข้าสู่ระบบแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ปิดอุปกรณ์ของคุณ ถอดปลั๊ก หากอุปกรณ์ที่ใช้มีสายไฟ

  2. ตรวจสอบว่าได้ปิดอุปกรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว และไม่ได้อยู่ในโหมดสลีปหรือสแตนด์บาย

  3. ปิดอุปกรณ์ไว้ 15 วินาที

  4. เปิดอุปกรณ์ของคุณ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ถอดปลั๊กอุปกรณ์ออก

  2. กดปุ่มเปิด/ปิดบนอุปกรณ์หนึ่งครั้ง แล้วรอ 1 นาที หรือถอดปลั๊กทิ้งไว้ 3 นาที

  3. เสียบปลั๊กอุปกรณ์กลับเข้าไป

  4. เปิดอุปกรณ์แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

  1. ไปที่หน้าจอหลักของ Netflix จากนั้นไปทางด้านซ้ายเพื่อเปิดเมนู

  2. จากด้านล่าง ให้เลือกขอความช่วยเหลือ > ออกจากระบบ > ใช่

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หากอุปกรณ์อยู่ในหน้าจอข้อผิดพลาด ให้ทำดังนี้

  1. เลือก "รายละเอียดเพิ่มเติม"

  2. เลือก "ออกจากระบบ" หรือ "รีเซ็ต"

  3. ลงชื่อกลับเข้าสู่ระบบ แล้วลองใช้ Netflix อีกครั้ง

หาไม่พบตัวเลือก รับความช่วยเหลือ หรือ ออกจากระบบ ให้ทำดังนี้

  1. กดปุ่มต่อไปนี้บนรีโมทตามลำดับดังนี้ ขึ้น ขึ้น ลง ลง ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น

  2. เลือก ออกจากระบบรีเซ็ต หรือ ปิดใช้งาน จากเมนูที่ปรากฏ

การทำขั้นตอนเหล่านี้อาจลบแอป ข้อมูล หรือการตั้งค่าที่บันทึกไว้ในอุปกรณ์ ก่อนดำเนินการต่อ โปรดตรวจสอบให้แน่ใจว่า ทราบชื่อและรหัสผ่านของ Wi-Fi รวมทั้งข้อมูลเข้าสู่ระบบ Netflix แล้ว

สำหรับวิธีแก้ไขปัญหานี้ คุณจะต้องติดต่อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้งาน

เมื่อพูดคุยกับทางผู้ผลิต ให้ขอความช่วยเหลือสำหรับขั้นตอนต่อไปนี้ หลังจากทำแต่ละขั้นตอนแล้ว ให้ลองใช้ Netflix อีกครั้งเพื่อดูว่าแก้ไขปัญหาได้หรือยัง

  1. อัปเดตเฟิร์มแวร์หรือซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

  2. คืนค่าอุปกรณ์เป็นการตั้งค่าเริ่มต้น เหมือนตอนเปิดใช้ครั้งแรก

หากผู้ผลิตไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ หรือขั้นตอนเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผล คุณจะต้องใช้อุปกรณ์อื่นในการรับชม Netflix

บทความที่เกี่ยวข้อง